วันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

เภสัชกร ใช่คุณหรือเปล่า RSU Dream Camp 7







ค่ายความฝันสู่เภสัชกรครั้งที่ 7 



RSU Dream Camp 7


คณะเภสัชศาสตร์  มหาวิทยาลัยรังสิต 

19 - 21 มีนาคม 2556



มีฝันมีไฟ ต้องลองทำ เภสัชกร ใช่คุณหรือเปล่า  

ค่ายความฝันสู่เภสัชกรครั้งที่ 7 คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยรังสิต 


มาแล้วจะได้อะไร???


การต้อนรับที่อบอุ่นจากพี่ๆและคณาจารย์ คณะเภสัชศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยรังสิต






ฟังบรรยายพิเศษ "ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร..เภสัชกรยิปซี"


โดย เภสัชกรหญิง ศาสตราจารย์(พิเศษ) ดร. กฤษณา ไกรสินธุ์ 

ความรู้ที่ได้นำไปช่วยเหลือผู้อื่น มีค่ามากกว่าความรู้ในตำราเรียน 

หากใครยังไม่รู้จักท่าน ลองฟังตัวอย่าง แล้วจะรักท่าน <3

                                      



กิจกรรมแนะนำวิชาชีเภสัชกรรม 
เภสัชทำอะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อสังคม มีทิศทางในอนาคตอย่างไร เรามีคำตอบพร้อมให้น้องๆ
แล้วคับ


ปรุงยาแบบเภสัชกร 
ลงมือปรุงยาจริงๆด้วยตนเอง






เรียนรู้การใช้ยาอย่างถูกต้อง 

สมุนไพรไทย ใช้ให้เป็น

หลักสูตรการเรียนเภสัชศาตร์ในปัจจุบัน



และที่สำคัญ ความสนุกสนาน และกิจกรรมที่จะทำให้น้องๆมีความกล้าแสดงออก ได้เพื่อน พี่ๆ และได้รับความรุ้มากมาย

















และสุดท้าย สิ่งที่น้องๆจะได้รับกลับไปคือ ... มิตรภาพ และความทรงจำดีๆ ที่จะไม่มีวันลืม








อ่านจบ อยากมาแล้วล่ะซิ  มีคุณสมบัติพร้อมตาม

นี้!! อ่ะป่าวว??  

1. กำลังศึกษาชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

 สายวิทยาศาสตร์-คณิตศาตร์ 


2. สนใจอาชีพเภสัชกร คณะเภสัชศาตร์ มีความ

สนใจเข้าร่วมกิจกรรม 


ครบแล้ว!! ทำไงต่อ ??? 

ทำความเข้าใจระเบียบการ เอ้า โหลดดด คลิก!!!

โหลดดด ใบสมัครที่นี่ คลิก!!!



เตรียมอะไรบ้าง ?? ทำอะไรต่อ ??





^



วันศุกร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ชี้ชะตา วันสอบสัมภาษณ์

วันสอบสัมภาษณ์


แม้จะผ่านการสอบข้อเขียนมาแล้ว แต่ก็ยังมีอีกหนึ่งด่านที่น่าเป็นห่วง คือ สอบสัมภาษณ์ และปีผมมีสอบความถนัดด้วย ซึ่งข้อสอบก็ประมาณความรู้ทั่วๆไปเกี่ยวกับยา และสมุนไพร  
ส่วนสอบสัมภาษณ์นี่ นั่งใจตุ๊มๆต่อมๆ ยังไงก็ต้องผ่าน ยังไงต้องได้ 
มาคนเดียวก็ยั่งเหงา มองเพื่อนๆรอบๆ คิดไปเรื่อยเปื่อย จนกระทั่งมีพี่ๆเข้ามาพูดคุยด้วย  พี่ๆเข้ามาพูดคุยสนุกสนาน เฮฮา ให้กำลังใจและตอบคำถามหลายๆเรื่องที่สงสัย รู้สึกดีมากๆ ทำให้เราคลายกังวลไปได้เยอะ เริ่มสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของที่นี่ก็วันนี้แหละคับ 

ถึงคิวสอบสัมภาษณ์ไม่มีอะไรน่ากลัว อาจารย์ใจดีมากๆ ถามประมาณว่า ทำไมอยากเรียนเภสัช รู้มั๊ยว่าหลักสูตร 6 ปีต่างจาก 5 ปียังไง ทำกิจกรรมบ้างมั๊ย เป็นต้น 
จากนั้นก็มาทดสอบตาบอดสี ซึ่งก็ผ่านไปด้วยดี อาจารย์น่ารักมาก 
สุดท้ายก็มาลุ้นกันอีกที ติด ไม่ติด 




เย้!!! ได้เรียนเภสัชที่ ม.รังสิตแล้วววววว 
ดีใจมากๆ โทรบอกแม่บอกพี่บอกทุกคน 
เรากำลังจะเป็น นศภ. แล้ว

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ไปอย่างไรมาอย่างไร ถึงได้มาโผล่ที่ท้องทุ่งรังสิต





ไปอย่างไรมาอย่างไร ถึงได้มาโผล่ที่ท้องทุ่งรังสิต


            หลังจากตกหลุมรักวิชาชีพนี้แล้ว ก็ตัดสินใจแน่แน่วว่า เอาต้องเข้าคณะเภสัชให้ได้  ที่ไหนก็ได้ ตอนนั้นยังไม่มีมหาวิทยาลัยในใจ แต่พอมาตอนหลัง อยากเข้า มอ. ที่สุดละ(มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) ไปเป็นลูกพระบิดา แม้มาวันนี้ไม่ได้เรียนที่นั่น ผมก็ยังยึดถือคำสอนท่าน และผมก็คือลูกพระบิดาคนนึง ไม่ต่างจากนักศึกษาแพทย์หรือนักศึกษา มอ. เพราะด้วยความศรัทธา ก็ได้สอบตรงของภาคใต้ เลือกไป 4 อันดับ อันดับแรกเลือกแพทย์แบบขำๆ รู้ว่าอย่างไรเสียก็ไม่ติดอยู่แล้ว รับตรง มอ แพทย์คะแนนสูงลิ่วไปโน่น ไม่มีปัญญาหรอก อันดับสอง เภสัชศาสตร์ บริบาลทางเภสัชกรรม อันดับสาม เภสัชศาตร์  อันดับ 4 ไม่รู้จะเลือกอะไร เ อาที่เคยอยากเป็นแล้วกัน วิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์  มันมีสามหลักสูตร เลยเลือกหลักสูตรที่มีคะแนนสูงสุดเลยละกัน ไม่ติดก็ให้มันหลุดให้หมด จะได้ไม่เสียดาย พอประกาศผลเท่านั้นแหละ จะเป็นลม ติดอันดับ 4 วิศวกรรมศาสตร์คอมพิวเตอร์ เฮ้อ ชีวิต เห็นคะแนนยิ่งช้ำหนัก ขาดอีกไม่กี่คะแนนก็ถึงเภสัชแล้ว ที่บ้านดีใจมาก พากันไปฉลอง แต่ที่สุดแล้วก็ก็ขอสละสิทธ์ แล้วก็สอบของศิลปากร ก็ไม่ติด สอบวลัยลักษณ์ ซึ่งตอนนั้นยังไม่ได้รับการรับรองหลักสูตร แต่ถ้าได้ก็คงเอา ประกาศผล ไม่ติดแม้แต่ตัวสำรอง จะหวังแอดคงยาก คะแนนต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก  เลยตัดสินใจแน่วแน่สละสิทธิ์ทุกอย่างที่ติดมาซึ่งไม่ใช่เภสัช ยื่นแอดกลาง โดยหวังว่าเลือกรังสิตไว้อันดับสี่ พลาดพลั้งยังไง ต้องติดที่นี่  แต่ก็ไม่ยอมพลาด เพราะวันสอบตรงเภสัชของรังสิต คือ วันถัดไปจากวันประกาศผลแอด ผมขึ้นกรุงเทพมาอยู่บ้านพี่สาวก่อนหน้านั้นและเดินทางไปสมัครสอบด้วยตนเอง  ที่มหาวิทยาลัยรังสิต  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกของการมาเยือนท้องทุ่งแห่งความหวังนี้ ผมเคยมาที่นี่สมัยพี่สาวผมเรียนพยาบาลที่นี่ และวันรับปริญญาของพี่สาวผม ผมก็ได้มาร่วมแสดงความยินดีและถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ผมเคยไปกินข้าวโรงอาหารหอใน ตอนนั้นรู้สึกว่าที่นี่น่าอยู่นะ ชอบเลยหล่ะ พอมาวันที่ไปสมัคร ก็มีตึกใหม่ขึ้น อะไรเปลี่ยนไปเยอะ ผมก็ได้แต่หวังลึกๆว่า คงมีโอกาสได้เข้ามาเรียนในที่แห่งนี้   วันประกาศผลแอดมิชชั่น ผมค่อนข้างโชคดีที่สมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่ต้องมาไล่ดูบอร์ด เหมือน ในมิวสิควีดีโอเพลงกำลังใจของวงโฮป 



ผมแค่ลงทะเบียนผ่านหน้าเว็บ ก็รอSMS ได้เลย  ถึงเวลา นั่งเฝ้าโทรศัพท์ตัวแข็ง ข้อความเข้า!!!  ขออภัย ท่านไม่มีชื่อ..... มันก็หมายความว่า ไม่ติดสักอันดับ ซึ่งก็รวมถึงมหาวิทยาลัยรังสิตด้วย ผมค่อนข้างช็อค มันเคว้งนะตอนนั้น ทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้จะหันไปทางไหน กดดันด้วยแหละ รังสิตก็แพง คนทั่วไปก็มองว่าไม่มีคุณภาพ สอบใบประกอบได้น้อย โน่นนี่นั่น ผมยิ่งเครียดหนัก  ทรุดตัวลงไปนั่ง โทรหาพ่อหาแม่ บอกพี่สาว โทรหา อาจารย์ ผมก็ยังมีอาจารย์คอยปลอบใจ  ผมเข้าใจอารมณ์เด็กเอนท์ตอนนั้นเลยนะ ที่สุดของความเครียด ตอนนั้นอารมณ์เพลงนี้เลย กำลังใจ ข้างบน  ผมเป็นรุ่นแห่งการเปลี่ยนแปลงด้วย เปลี่ยนตั้งแต่การรับเข้า ม 1 ก็เปลี่ยนระบบ ม4 
เปลี่ยนระบบอีก พอมา มหาวิทยาลัย เค้าก็เปลี่ยนระบบอีก ผมว่ายิ่งทำยิ่งติดลบ มันไม่ได้ดีขึ้นเลย พวก
เขาคิดอะไรกันอยู่ ผู้ใหญ่บ้านนี้เมืองนี้เป็นอะไรกันไปหมด อยู่ๆมา แกท แพท โอเนต ตัดรวมกับเกรด ผมเป็นรุ่นแรกแห่งระบบนี้  ระบบที่พบแล้วว่าล้มเหลว  แต่ก็นับว่าผมยังโชคดีที่มีการวางแผนล่วงหน้าไว้แล้ว จึงไปสมัครสอบตรงเภสัชรังสิตไว้ เช้าวันรุ่งขึ้น จึงมุ่งหน้าสู่มหาวิทยาลัยรังสิตในทันที สอบพร้อมกับเพื่อนคนนึงที่มาจาก โรงเรียนเดียวกัน  สอบเสร็จ ผมรู้สึกว่าวิชาที่ทำได้คือชีววะ เคมี กับ สังคม แล้วก็ภาษาไทยนิดหน่อย ส่วนคณิตศาสตร์ กับฟิสิกส์นี่ เดาแหลกแจกโชค เดินออกมาแอบได้ยินคนบอกข้อสอบง่าย แต่ไอ้กระผมนี่ ยากไปหมด ไม่รู้อะไรเยอะแยะมากมาย แล้วจะติดป่ะเนี่ย  รอผล พอประกาศ ผมติด แต่เพื่อนไม่ติด เค้าเลือกได้สี่อันดับ เพื่อนผมเลือกแพทย์แผนตะวันออกไว้ด้วย เลยได้แพทย์แผนตะวันออก ซึ่งเพื่อนผมก็เรียนอยู่จนกระทั่งตอนนี้  ส่วนผม เด็ดเดี่ยวคับเลือกเภสัชอย่างเดียวอันดับหนึ่งแล้วสามอันดับหลังปล่อยว่าง  ตอนผมไปสมัครผมเป็นคนที่สามพันกว่า  โห ตอนนั้น คิดว่าไม่รอด ถ้าไม่ได้ก็คือไม่ได้ไม่เอา ไม่เรียนมันแล้ว  จะเข้าคณะเศรษฐศาสตร์ไปเลย  แต่สุดท้ายก็ติด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เข้าเรียนที่นี่แล้วนะ ยังมาสอบสัมภาษณ์อีก แล้วจะผ่านมั๊ยอ่ะ เริ่มท้อแท้อีกแล้ว  ด่านต่อไปสอบสัมภาษณ์  เชิญติดตามตอนต่อไปคับ มาดูว่า สอบสัมภาษณ์เป็นไง อะไรยังไง จะได้ไม่ต้องกลัวไปก่อน และประหม่า 


วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จุดประกายต้นกล้ามะกอก(เมื่อหลงรักยา)


จุดประกายต้นกล้ามะกอก(เมื่อหลงรักยา)

                ถ้าถามว่าทำไมถึงเรียนเภสัช (ถ้าไม่ได้ถาม ไม่คิดจะถาม ข้ามไม่ต้องอ่านก็ได้นะคับ ฮ่าๆๆ)  หลายๆคนมักจะได้ยินผมตอบว่า  เป็นอาชีพเดียวที่สามารถขายยาบ้าได้อย่างถูกกำหมาย”  ฮ่าๆๆ จริงๆแล้วอันนี้ตอบเอา ฮา นะครับ เมื่อก่อนอยากเป็นนายร้อยห้อยกระบี่ เห็นพี่ชายแล้วเทห์ พอไปเข้าค่ายลูกเสือ เฮ้ย มันไม่ใช่ ขนาดสามวันยังจะตาย เป็นปีอยู่ไม่ได้หรอก ฮ่าๆ  เปลี่ยนเป็นอยากเป็นคุณหมอ ผมมีหมอในดวงใจคือ คุณหมอวิญญู ท่านเป็นหมอที่น้าผมเคยไปทำงานจ่ายยาให้ ตอนนั้นผมก็มักจะไปซุกซนที่คลินิกท่านเป็นประจำ ผมมักจะชอบไปอ่านชื่อยา จำชื่อยา ดูน้าจ่ายยา และก็เคยจ่ายแทนน้าด้วย ภูมิใจมากตอนนั้น แต่ประเด็นหลักคือ วิตามินซี กินจนลิ้นส้มแป๊ด ห่อกลับบ้านตลอด แต่สิ่งที่แอบเอากลับมาด้วยคือชื่อยา ตอนนั้นหมอท่านเป็นกุมารแพทย์ ยากับวัคซีนก็จะมีแต่ของเด็กเป็นหลัก เป็นพวกยาน้ำ ยาแขวนตะกอน มีไม่กี่ชนิด มันก็ไม่ยากที่เด็กประถมจะแอบจดออกมาท่อง ในขณะที่ช่วยน้ากรอกยาจากแกลลอนลงใขขวดใบเล็กๆ 60 cc ที่เตรียมใว้ให้คนไข้ หรือนี่จะเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆครั้งแรกของความเป็นเภสัชกร ก่อนจะเกิดประกายฝันครั้งยิ่งใหญ่  บางครั้งก็แอบไปดูหมอฉีดวัคซีน ผมว่าหมอท่านนี้มือเบามาก ผมเคยให้ท่าฉีดยาให้ครั้งนึง เทียบกับป้าพยาบาล รพ แถวบ้านที่มาฉีดให้สมัย ป1 นี่ คนละเรื่องเลย ป้าพยาบาลฉีดเจ็บไปนะ ขู่อีก พูดจาก็ไม่ไหวนะ พอเจอคุณหมอพูดเพราะ ฉีดเบา โหแบบนี่เลยที่เราจะเป็น คุณหมอขวัญใจเด็กๆ ผมจะเป็นหมอที่พูดจาดีๆพูดเพราะๆ ปลอบคนไข้เก่งๆ ฉีดยาเบาๆ  นั่นคือสิ่งที่เด็กประถมคนนึงคิดและตอบคำถามนี้ในวันเด็กทุกปี จนกระทั่งเข้าสู่โลกคอมพิวเตอร์ จริงๆผมเรียนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อนุบาลนะ ซึ่งสมัยนั้น เด็กน้อยคนนะที่ได้เรียน ถือว่าผมค่อนข้างโชคดี  แต่ก็เรียนรู้และใช้ได้ไม่กี่โปรแกรม ก็แค่อนุบาล ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย สมัยนั้นวินโดว์ 98 มั้ง ฮ่าๆ เกมส์เดอะซิม1 นี่เกมโปรด จนกระทั่งเข้าสู่ชั้นประถม 5 ได้คอมพิวเตอร์ เล่นที่บ้านจริงๆจังๆ สมัยนั้นก็วินโ ด Me เริ่มเรียนรู้บทบาทคอมพิวเตอร์ รู้สึกถึงความมหัศจรรย์  ถอดมันทุกชิ้นส่วน อยากรู้ อยากดู อยากเห็น  และหลุดเข้าไปในโลกแห่งอิเล็กทรอนิกอีกครั้ง จากน้าที่ทำงานที่ อมร สุราษฎร์ ผมขลุกอยู่กับอะไรก็ตามที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไปอยู่ห้องช่างบ้าง พี่ฝึกงานบ้าง โดยมีที่ปรึกษาคือน้าคนนึง ที่คอยซ่อมคอม ให้คำแนะนำทุกครั้งที่สงสัย หรือคอมพัง ตอนนี้ท่านเป็นคุณครู ที่โรงเรียนเทศบาลไปแล้ว จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ทำให้ความคิดหักเห จากคุณหมอ สู่เป้าหมายใหม่ โปรแกรมเมอร์  ดูจะแหวกไปคนละขั้ว แต่แล้ว ด้วยความที่บ้านผมไม่ใช่ในเมือง มีพื้นดินมีสวน มีความเป็นชนบท สมัยก่อนทำนา ก็เลยรู้จักต้นไม้ รู้จักสมุนไพร รู้จักหมอบ้าน จากชุมชน จากคุณยาย จากพ่อ แม่ ทุกอย่างรอบตัวมันเป็นยา บ้านโน้นมีต้นนี้ บ้านนี้มีต้นนั้น บ้านโน้นมี บ้านนี้ป่วย บ้านนี้มาขอบ้านโน้น  โดนงูกัด หาหมอบ้าน ไม่เห็นโดนตัดขา ไม่เจ็บทุรนทุราย ผมมองว่าสมุนไพรนี้ มหัศจรรย์นะ เลยชอบอ่าน ชอบศึกษา ชอบถาม  แม่ๆ นั่นต้นอะไร ยายๆๆ นี้ต้นอะไร  ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย แต่ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันนะ สมัยนั้นผมว่าผมรู้เยอะกว่าหลายๆคนนะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเรียนอะไรถึงจะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้  ผมชอบเป็นคุณหมอประจำบ้าน เวลาใครเป็นอะไร ก็มักจะเป็นคนหยิบยา หยิบโน่นนี่ให้ เวลาไปโรงพยาบาล เห็นคนใส่เสื้อกาวน์ยาว เห็นเภสัช เห็นหมอ ใส่เสื้อกาวน์ สีขาวสะอาดตา ผมว่าเทห์อ่ะ คิดในใจนี่แหละ เครื่องแบบในอนาคตของผม  ผมว่าตอนนั้นหละมั๊ง ที่เริ่มจุดประกายจริงๆจังๆ  แต่อีกหนึ่งอย่างที่หลายๆคนบอกว่าแปลกคือ ผมชอบกลิ่นห้องยา ไม่รู้สิ รู้สึกว่ากลิ่นแบบนี้หล่ะ ใช่เลย มันรู้สึกดีจัง แปลกไปมะ ฮ่าๆๆ  ผมก็ว่าผมแปลก สงสัยผมคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ  แล้วผมก็ได้รู้มากขึ้นเรื่อยๆว่าเภสัชกร ทำหน้าที่อะไรบ้าง ผมรู้สึกว่า ใช่ตัวผมเลยหล่ะ คอยจ่ายยา ให้คำแนะนำผู้ป่วย ปรุงยา คิดค้นยา ตอนนั้นผมยังฝันว่าวันนึงผมจะทำยาที่ช่วยชีวิตคนได้มากมาย จนกระทั่ง มีรุ่นำพี่ที่โรงเรียนเรียน ซึ่งเป็นพี่ชายเพื่อนผม สอบติดคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วเพื่อนผมเอาตารางสอนพี่เค้ามาให้ดู ผมถึงขั้นขอกลับไปแปะฝาบ้าน ไว้เป็นแรงผลักดัน ว่าวันนึง ผมจะต้องมีสิ่งนี้บ้าง (จริงๆตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามีแล้วมันแน่นๆไปนะ อยากได้โล่งๆ ฮ่าๆ )  สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงบัลดาลใจนอกจากที่กล่าวมาคือ การที่อ่านข่าวแล้วมักจะเห็นต่างชาติเอาสมุนไพรไทยไปวิจัย จนทะเบียนกันมากมาย แล้วทำไมไทยไม่ทำเองบ้างล่ะ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลมากมายเหลือเกิน ปีๆนึงต้องน้ำเข้ายา มหาศาล แล้วสมุนไพรไทย ยาไทยล่ะ ถ้าเราได้ทำตรงนี้ คงช่วยชีวิตคนได้มากมาย หลายคนถามผมว่า อยากรักษาผู้ป่วยทำไมไม่เป็นหมอไปเลยล่ะ ผมกลัวโดนฟ้อง  หมอโดนฟ้องร้องบ่อยจริงสมัยนี้ ไม่ใช่หรอกคับ ตอบขำๆ ใจจริงผมคิดว่าหมอจะรักษาผู้ป่วย หลักๆก็ต้องใช้ยาอยู่ดี หมอหนึ่งคน ตรวจคนไข้วันนึงร้อยกว่าคนก็เหนื่อยแล้ว สมมติว่าหมอตรวจคนไข้คนละ 5 นาที ชม นึง หมอตรวจคนไข้ได้ประมาน 12 คน ถ้าหมอทำงานวันละ 12 ชม ก็ตรวจคนไข้ได้ 144 คน นี่คือ สุดๆ เลยนะคับ 144 คน กลับบ้านแขนแทบยกไม่ขึ้น  แต่ถ้าผมคิดยา 1 สูตร แล้วถูกนำไปรักษาได้ผลจริง เพียงแค่ผมมีส่วนร่วมเพียงเศษเสี้ยว แต่นั่นคือคนปริมาณมหาศาล ที่จะได้รับการรักษาจากยาของผม  นี่เป็นเพียงมุมนึงของความคิดผมนะครับ ไม่มีหมอก็ไม่ได้ หมอก็สำคัญ พยาบาลก็สำคัญ แม่บ้านล้างห้องน้ำโรงพยาบาล คนเก็บขยะ ยังสำคัญเลยครับ ทุกอาชีพมีเกียรติ และมีความสำคัญ และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเด็กน้อยคนนี้ ที่ฝันอยากเป็นหมอยา(เภสัชกร) ต่อจากตรงนี้จะเป็นอย่างไร ชีวิตในรั้วเขียวมะกอก จะเดินไปทางไหน คงเป็นตอนต่อๆไป  

แนะนำตัวกันก่อนครับพ้ม



แนะนำตัวกันก่อนครับพ้ม
ผมชื่อ กัส คับ เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยรังสิต  คณะเภสัชศาสตร์  สาขา บริบาลทางเภสัชกรรม ปกติไม่เคยต้องบอกสาขา ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป คงต้องบอกสาขาละ เพราะมหาวิทยาลัยแยกเภสัชเป็นสองสาขา ซะแล้วววววว
                ผมเป็นเด็กใต้คับ ดูจากสีผิวน่าจะรู้ มืดขนาดนี้ ฮ่าๆ  จบมาจาก โรงเรียนพุนพินพิทยาคม อำเภอพุนพิน  จังหวัดสุราษฎร์ธานี   เมืองคนดีคับ หลายๆนอาจจะไม่รู้จัก เพราะเป็นโรงเรียนประจำอำเภอ ไม่ใหญ่มาก ไม่ได้โด่งดังอะไรมากมาย แต่ผมก็ภูมิใจในโรงเรียนของผมครับ
                ผมเป็นคนสนุกสนาน เฮอา ร่าเริง ยิ้มได้ตลอด ถ้าไม่เครียดมากจริงๆ เข้ากับคนง่ายคับ ช่างพูดช่างคุย ออกแนวพูดมากซะมากกว่า อาจจะน่ารำคาญสำหรับบางคน   ชอบทำกับข้าวเป็นชีวิตจิตใจ และชอบศึกษา อ่านๆๆ เกี่ยวกับสุขภาพ วิตามิน ผัก ผลไม้ สมุนไพร แล้วก็เทคโนโลยีครับ ผมเป็นคนที่ค่อนข้างอัพเดตเรื่องเทคโนโลยี ชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ดังนั้น ใครจะคุยกับผมสองเรื่องนี้ เต็มที่เลยครับ แต่เรื่องการเมือง ของดนะครับ เนื่องจากผมค่อนข้างสุดโต่งไปทางนึงเลย ดังนั้น ไม่น่าเอามาขัดแย้งกัน  ^^