วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

จุดประกายต้นกล้ามะกอก(เมื่อหลงรักยา)


จุดประกายต้นกล้ามะกอก(เมื่อหลงรักยา)

                ถ้าถามว่าทำไมถึงเรียนเภสัช (ถ้าไม่ได้ถาม ไม่คิดจะถาม ข้ามไม่ต้องอ่านก็ได้นะคับ ฮ่าๆๆ)  หลายๆคนมักจะได้ยินผมตอบว่า  เป็นอาชีพเดียวที่สามารถขายยาบ้าได้อย่างถูกกำหมาย”  ฮ่าๆๆ จริงๆแล้วอันนี้ตอบเอา ฮา นะครับ เมื่อก่อนอยากเป็นนายร้อยห้อยกระบี่ เห็นพี่ชายแล้วเทห์ พอไปเข้าค่ายลูกเสือ เฮ้ย มันไม่ใช่ ขนาดสามวันยังจะตาย เป็นปีอยู่ไม่ได้หรอก ฮ่าๆ  เปลี่ยนเป็นอยากเป็นคุณหมอ ผมมีหมอในดวงใจคือ คุณหมอวิญญู ท่านเป็นหมอที่น้าผมเคยไปทำงานจ่ายยาให้ ตอนนั้นผมก็มักจะไปซุกซนที่คลินิกท่านเป็นประจำ ผมมักจะชอบไปอ่านชื่อยา จำชื่อยา ดูน้าจ่ายยา และก็เคยจ่ายแทนน้าด้วย ภูมิใจมากตอนนั้น แต่ประเด็นหลักคือ วิตามินซี กินจนลิ้นส้มแป๊ด ห่อกลับบ้านตลอด แต่สิ่งที่แอบเอากลับมาด้วยคือชื่อยา ตอนนั้นหมอท่านเป็นกุมารแพทย์ ยากับวัคซีนก็จะมีแต่ของเด็กเป็นหลัก เป็นพวกยาน้ำ ยาแขวนตะกอน มีไม่กี่ชนิด มันก็ไม่ยากที่เด็กประถมจะแอบจดออกมาท่อง ในขณะที่ช่วยน้ากรอกยาจากแกลลอนลงใขขวดใบเล็กๆ 60 cc ที่เตรียมใว้ให้คนไข้ หรือนี่จะเป็นสะเก็ดไฟเล็กๆครั้งแรกของความเป็นเภสัชกร ก่อนจะเกิดประกายฝันครั้งยิ่งใหญ่  บางครั้งก็แอบไปดูหมอฉีดวัคซีน ผมว่าหมอท่านนี้มือเบามาก ผมเคยให้ท่าฉีดยาให้ครั้งนึง เทียบกับป้าพยาบาล รพ แถวบ้านที่มาฉีดให้สมัย ป1 นี่ คนละเรื่องเลย ป้าพยาบาลฉีดเจ็บไปนะ ขู่อีก พูดจาก็ไม่ไหวนะ พอเจอคุณหมอพูดเพราะ ฉีดเบา โหแบบนี่เลยที่เราจะเป็น คุณหมอขวัญใจเด็กๆ ผมจะเป็นหมอที่พูดจาดีๆพูดเพราะๆ ปลอบคนไข้เก่งๆ ฉีดยาเบาๆ  นั่นคือสิ่งที่เด็กประถมคนนึงคิดและตอบคำถามนี้ในวันเด็กทุกปี จนกระทั่งเข้าสู่โลกคอมพิวเตอร์ จริงๆผมเรียนคอมพิวเตอร์ตั้งแต่อนุบาลนะ ซึ่งสมัยนั้น เด็กน้อยคนนะที่ได้เรียน ถือว่าผมค่อนข้างโชคดี  แต่ก็เรียนรู้และใช้ได้ไม่กี่โปรแกรม ก็แค่อนุบาล ไม่ได้เข้าใจอะไรมากมาย สมัยนั้นวินโดว์ 98 มั้ง ฮ่าๆ เกมส์เดอะซิม1 นี่เกมโปรด จนกระทั่งเข้าสู่ชั้นประถม 5 ได้คอมพิวเตอร์ เล่นที่บ้านจริงๆจังๆ สมัยนั้นก็วินโ ด Me เริ่มเรียนรู้บทบาทคอมพิวเตอร์ รู้สึกถึงความมหัศจรรย์  ถอดมันทุกชิ้นส่วน อยากรู้ อยากดู อยากเห็น  และหลุดเข้าไปในโลกแห่งอิเล็กทรอนิกอีกครั้ง จากน้าที่ทำงานที่ อมร สุราษฎร์ ผมขลุกอยู่กับอะไรก็ตามที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เข้าไปอยู่ห้องช่างบ้าง พี่ฝึกงานบ้าง โดยมีที่ปรึกษาคือน้าคนนึง ที่คอยซ่อมคอม ให้คำแนะนำทุกครั้งที่สงสัย หรือคอมพัง ตอนนี้ท่านเป็นคุณครู ที่โรงเรียนเทศบาลไปแล้ว จากจุดเริ่มต้นนี้เอง ทำให้ความคิดหักเห จากคุณหมอ สู่เป้าหมายใหม่ โปรแกรมเมอร์  ดูจะแหวกไปคนละขั้ว แต่แล้ว ด้วยความที่บ้านผมไม่ใช่ในเมือง มีพื้นดินมีสวน มีความเป็นชนบท สมัยก่อนทำนา ก็เลยรู้จักต้นไม้ รู้จักสมุนไพร รู้จักหมอบ้าน จากชุมชน จากคุณยาย จากพ่อ แม่ ทุกอย่างรอบตัวมันเป็นยา บ้านโน้นมีต้นนี้ บ้านนี้มีต้นนั้น บ้านโน้นมี บ้านนี้ป่วย บ้านนี้มาขอบ้านโน้น  โดนงูกัด หาหมอบ้าน ไม่เห็นโดนตัดขา ไม่เจ็บทุรนทุราย ผมมองว่าสมุนไพรนี้ มหัศจรรย์นะ เลยชอบอ่าน ชอบศึกษา ชอบถาม  แม่ๆ นั่นต้นอะไร ยายๆๆ นี้ต้นอะไร  ก็ไม่ได้รู้อะไรมากมาย แต่ถ้าเทียบกับเด็กรุ่นเดียวกันนะ สมัยนั้นผมว่าผมรู้เยอะกว่าหลายๆคนนะ ผมก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเรียนอะไรถึงจะได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้  ผมชอบเป็นคุณหมอประจำบ้าน เวลาใครเป็นอะไร ก็มักจะเป็นคนหยิบยา หยิบโน่นนี่ให้ เวลาไปโรงพยาบาล เห็นคนใส่เสื้อกาวน์ยาว เห็นเภสัช เห็นหมอ ใส่เสื้อกาวน์ สีขาวสะอาดตา ผมว่าเทห์อ่ะ คิดในใจนี่แหละ เครื่องแบบในอนาคตของผม  ผมว่าตอนนั้นหละมั๊ง ที่เริ่มจุดประกายจริงๆจังๆ  แต่อีกหนึ่งอย่างที่หลายๆคนบอกว่าแปลกคือ ผมชอบกลิ่นห้องยา ไม่รู้สิ รู้สึกว่ากลิ่นแบบนี้หล่ะ ใช่เลย มันรู้สึกดีจัง แปลกไปมะ ฮ่าๆๆ  ผมก็ว่าผมแปลก สงสัยผมคงเกิดมาเพื่อสิ่งนี้จริงๆ  แล้วผมก็ได้รู้มากขึ้นเรื่อยๆว่าเภสัชกร ทำหน้าที่อะไรบ้าง ผมรู้สึกว่า ใช่ตัวผมเลยหล่ะ คอยจ่ายยา ให้คำแนะนำผู้ป่วย ปรุงยา คิดค้นยา ตอนนั้นผมยังฝันว่าวันนึงผมจะทำยาที่ช่วยชีวิตคนได้มากมาย จนกระทั่ง มีรุ่นำพี่ที่โรงเรียนเรียน ซึ่งเป็นพี่ชายเพื่อนผม สอบติดคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ แล้วเพื่อนผมเอาตารางสอนพี่เค้ามาให้ดู ผมถึงขั้นขอกลับไปแปะฝาบ้าน ไว้เป็นแรงผลักดัน ว่าวันนึง ผมจะต้องมีสิ่งนี้บ้าง (จริงๆตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามีแล้วมันแน่นๆไปนะ อยากได้โล่งๆ ฮ่าๆ )  สิ่งหนึ่งที่เป็นแรงบัลดาลใจนอกจากที่กล่าวมาคือ การที่อ่านข่าวแล้วมักจะเห็นต่างชาติเอาสมุนไพรไทยไปวิจัย จนทะเบียนกันมากมาย แล้วทำไมไทยไม่ทำเองบ้างล่ะ ผู้ป่วยในโรงพยาบาลมากมายเหลือเกิน ปีๆนึงต้องน้ำเข้ายา มหาศาล แล้วสมุนไพรไทย ยาไทยล่ะ ถ้าเราได้ทำตรงนี้ คงช่วยชีวิตคนได้มากมาย หลายคนถามผมว่า อยากรักษาผู้ป่วยทำไมไม่เป็นหมอไปเลยล่ะ ผมกลัวโดนฟ้อง  หมอโดนฟ้องร้องบ่อยจริงสมัยนี้ ไม่ใช่หรอกคับ ตอบขำๆ ใจจริงผมคิดว่าหมอจะรักษาผู้ป่วย หลักๆก็ต้องใช้ยาอยู่ดี หมอหนึ่งคน ตรวจคนไข้วันนึงร้อยกว่าคนก็เหนื่อยแล้ว สมมติว่าหมอตรวจคนไข้คนละ 5 นาที ชม นึง หมอตรวจคนไข้ได้ประมาน 12 คน ถ้าหมอทำงานวันละ 12 ชม ก็ตรวจคนไข้ได้ 144 คน นี่คือ สุดๆ เลยนะคับ 144 คน กลับบ้านแขนแทบยกไม่ขึ้น  แต่ถ้าผมคิดยา 1 สูตร แล้วถูกนำไปรักษาได้ผลจริง เพียงแค่ผมมีส่วนร่วมเพียงเศษเสี้ยว แต่นั่นคือคนปริมาณมหาศาล ที่จะได้รับการรักษาจากยาของผม  นี่เป็นเพียงมุมนึงของความคิดผมนะครับ ไม่มีหมอก็ไม่ได้ หมอก็สำคัญ พยาบาลก็สำคัญ แม่บ้านล้างห้องน้ำโรงพยาบาล คนเก็บขยะ ยังสำคัญเลยครับ ทุกอาชีพมีเกียรติ และมีความสำคัญ และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเล็กๆ ของเด็กน้อยคนนี้ ที่ฝันอยากเป็นหมอยา(เภสัชกร) ต่อจากตรงนี้จะเป็นอย่างไร ชีวิตในรั้วเขียวมะกอก จะเดินไปทางไหน คงเป็นตอนต่อๆไป  

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น